กิจกรรมจิตศึกษา เรื่อง ก็แค่ความผิดเล็กน้อย(จริงหรือ?)
ขั้นนำ :
นักเรียนนั่งเป็นวงกลม ใช้กิจกรรม Brain Gym ปลุกสมอง/สมาธิให้ร่ายกายและสมองผ่อนคลาย ก่อนเริ่มกิจกรรม
ตัวอย่าง กิจกรรม ฝึกสติ และ สมาธิ
ขั้นดำเนินกิจกรรม :
1.คุณครูเริ่มเล่าเรื่อง......ก็แค่ความผิดเล็กน้อย(จริงหรือ?).... นักเรียนฟังอย่างตั้งใจ หรือ จะให้นักเรียนอ่านบทความจากกระดาษที่พิมพ์เตรียมไว้แล้วก็ได้ อาจจะแบ่งใหันั่งเป็นกลุ่มๆละ 3-4 คน เพื่อให้สมาชิกได้ฝึกการฟังเรื่องราวนี้จากเสียงที่เพื่อนเล่า และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
1.คุณครูเริ่มเล่าเรื่อง......ก็แค่ความผิดเล็กน้อย(จริงหรือ?).... นักเรียนฟังอย่างตั้งใจ หรือ จะให้นักเรียนอ่านบทความจากกระดาษที่พิมพ์เตรียมไว้แล้วก็ได้ อาจจะแบ่งใหันั่งเป็นกลุ่มๆละ 3-4 คน เพื่อให้สมาชิกได้ฝึกการฟังเรื่องราวนี้จากเสียงที่เพื่อนเล่า และได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
2. ตอบคำถามต่อไปนี้ โดยเล่าให้เพื่อนในกลุ่มของเราฟัง เรารู้สึกอย่างไรกับบทความนี้ เรื่องเล่านี้น่าจะเป็นเรื่องจริง ได้หรือไม่ เพราะเหตุใด ถ้าเราเป็นเจ้าของบริษัทต่างๆ เราจะรับนักศึกษาคนนี้เข้าทำงานหรือไม่ เพราะเหตุใด ถ้าเราเป็นนักศึกษาคนนี้ เราจะทำอย่างไร เพราะเหตุใด
3. ตัวแทนแต่ละกลุ่ม เล่าให้เพื่อนๆ กลุ่มอื่นได้รับฟังความรู้สึกและสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่มของตน
3. ตัวแทนแต่ละกลุ่ม เล่าให้เพื่อนๆ กลุ่มอื่นได้รับฟังความรู้สึกและสิ่งที่ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันในกลุ่มของตน
เมื่อจบกิจกรรม ครูจะกล่าวขอบคุณทุกความรู้สึกของนักเรียน นักเรียนกล่าวขอบคุณซึ่งกันและกัน
......................................................................
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อหลายปีก่อน มีหญิงคนหนึ่งเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เดินทางไปทำงานในประเทศฝรั่งเศส เธอทำงานไปด้วยและเรียนไปด้วย เธอเริ่มสังเกตเห็นว่า ระบบจำหน่ายตั๋วอัตโนมัติของขนส่งสาธารณะมีช่องโหว่อย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ต้องซื้อตั๋วกับตู้จำหน่ายตั๋วอัตโนมัติเอง ตรงประตูทางออกของแต่ละสถานีก็ไม่มีการตรวจตั๋วแต่อย่างใด ไม่มีพนักงานตรวจตั๋วเช่นกัน อาจมีการสุ่มตรวจบ้างแต่น้อยมาก
เมื่อเธอสังเกตถึงเรื่องนี้ เธอจึงนึกว่าตนเองฉลาดมากที่จับผิดตรงจุดนี้ได้ เธอวางแผนที่จะหลีกเลี่ยงการชำระค่าโดยสาร โอกาสที่จะโดนจับได้นั้นมีเพียงแค่ 3 ใน 1หมื่นคนเท่านั้น เป็นสัดส่วนที่น้อยมากเลยทีเดียวหลังจากนั้นเธอจึงหลีกเลี่ยงการซื้อตั๋วรถอยู่หลายครั้ง เธอให้เหตุผลปลอบใจตนเองว่า เป็นเพราะตนเองเป็นนักเรียนที่ยากจน จึงต้องประหยัดค่าใช้จ่ายหน่อย
4 ปีต่อมา เมื่อเธอเรียนจบในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นนักเรียนดีเด่นของมหาวิทยาลัยมีผลการเรียนที่ดี เป็นนักเรียนเกียรตินิยม เธอเป็นคนมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมาก จึงเขาไปสมัครทำงานยังกรุงปารีส เมื่อเธอเข้าไปสัมภาษณ์งานยังบริษัทต่างๆเธอก็เริ่มพรีเซ็นต์ตนเองอย่างคล่องแคล่ว ด้วยบุคลิกภาพที่ดีเยี่ยม แต่ทว่าบริษัทต่างๆเหล่านั้นที่เธอส่งเรซูเม่เข้าไปนั้น ต่างก็ปฏิเสธรับเธอเข้าทำงานทั้งหมด ครั้งแล้วครั้งเล่าที่เธอโดนปฏิเสธ ทำให้เธอรู้สึกแย่มากและไม่เข้าใจว่าทำไมถึงปฏิเสธที่จะรับเธอเข้าทำงาน เธอคิดว่าคงเป็นเพราะว่าเธอเป็นคนต่างถิ่นแน่นอน
ครั้งสุดท้ายที่เธอไปสัมภาษณ์งานที่บริษัทแห่งหนึ่ง แต่ก็โดนปฏิเสธเหมือนกัน เธอจึงวิ่งเข้าไปยังออฟฟิตของผู้จัดการฝ่ายทรัพยากรบุคคลของบริษัทนั้น แล้วขอให้ผู้จัดการให้เหตุผลว่าทำไมถึงปฏิเสธที่จะรับเธอเข้าทำงาน
ผู้จัดการ: "พวกเราไม่ได้กีดกันคุณ ตรงกันข้ามเราให้ความสำคัญกับคุณมาก วินาทีแรกที่คุณส่งเรซูเม่เพื่อขอสมัครกับบริษัทของเรา บริษัทรู้สึกสนใจและดีใจมากที่ พูดตามความจริงนะคะ จากประวัติและความสามารถของคุณดีพร้อมตรงตามที่เราต้องการทุกอย่าง"
หญิงสาว: "แล้วทำไมไม่รับคนมีความสามารถอย่างนี้เข้าทำงานละคะ?"
ผู้จัดการ: "เพราะว่า หลังจากที่บริษัทตรวจเช็คประวัติเครดิตความเชื่อถือของคุณแล้ว พบว่าคุณโดนจับและโดนปรับ เนื่องจากไม่ซื้อตั๋วโดยสารและถูกลงบันทึกในสถานีตำรวจถึง 3 ครั้ง"
หญิงสาว: "แต่ฉันไม่คิดว่า เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้จะเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะรับบุคคลากรที่มีความสามารถ เพราะหลายครั้งที่บทความของฉันถูกตีพิมพ์ในวารสารหรือหนังสือพิมพ์"
ผู้จัดการ:"อะไรนะ คุณบอกว่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น? แต่เราไม่คิดว่านั้น ว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น เพราะจากบันทึกของตำรวจบอกว่า ครั้งแรกที่จับได้ คุณให้เหตุผลว่า เพราะคุณเพิ่งเข้ามาในประเทศเพียง1สัปดาห์ ทำให้ยังไม่ค่อยเข้าใจถึงกฏระเบียบการซื้อตั๋วของประเทศมากนัก เจ้าหน้าที่จึงให้คุณจ่ายเงินส่วนต่างเพิ่มเท่านั้น แต่หลังจากนั้นคุณโดนจับอีกถึง 2 ครั้ง"
หญิงสาว: "นั่นเป็นเพราะในกระเป๋าไม่มีเงิน"
ผู้จัดการ: "ไม่ ไม่ ไม่คะ ฉันไม่เห็นด้วยกับเหตุผลของคุณ ฉันคิดว่าก่อนที่จะโดนจับได้นั้นคุณคงเคยทำผิดมาแล้วหลายครั้ง จนทำให้ตำรวจเพ่งเล็งตัวคุณ ทำให้คุณโดนจับในที่สุด"
หญิงสาว: "นั้นก็แค่ความผิดเล็กน้อยไม่ถึงตายหรอกมั้ง? ทำไมให้ความสำคัญกับมันมากขนาดนั้น? ครั้งต่อไปแก้ไขปรับปรุงตัวใหม่ก็ได้แล้วไม่ใช่หรอ?"
ผู้จัดการ: "ไม่ ไม่ ไม่คะ นั้นกำลังแสดงให้เห็นว่า
1.คุณไม่เคารพกฏระเบียบ เพราะคุณคงสังเกตเห็นแล้วว่าช่องทางการจำหน่ายและมีช่องโหว่ที่จะทำให้คุณสามารถหลีกเหลี่ยงการซื้อตั๋วรถได้
2.คุณไม่สมควรที่จะได้รับความเชื่อถือใดๆทั้งสิ้น เพราะบริษัทเรามีหน้าที่และงานมากมายที่จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยความเชื่อถือในการดำเนินงาน หากคุณได้รับหน้าที่รับผิดชอบให้ไปพัฒนาตลาดในภูมิภาคต่างๆ บริษัทจะให้อำนาจคุณ และเพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย บริษัทก็ไม่มีต้นทุนมากพอสำหรับการตั้งค่าที่ซับซ้อนเพื่อการตรวจสอบ เช่นเดียวกับบริษัทคมนาคมการขนส่งสาธารณะของประเทศของเรา เพราะฉะนั้นบริษัทของเราไม่สามารถใช้บุคลากรเช่นคุณได้ และขอพูดตามความจริงเลยว่า หากคุณจะหางานทำในสหภาพยุโรปนี้ก็ขอบอกอย่างตรงไปตรงมาเลยว่า คุณจะไม่ได้รับเข้าทำงานอย่างแน่นอน"
ในตอนนั้นเอง ฉันเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน และรู้สึกสำนึกผิดอย่างมาก แต่จริงๆสิ่งที่ทำให้เธอกลัวมาก นั้นเป็นเพราะว่าวลีหนึ่งที่ผู้จัดได้พูดกับเธอคือ "จรรยาบรรณสามารถเสริมสร้างภูมิปัญญาได้ แต่ภูมิปัญญาไม่สามารถเสริมสร้างให้มีจรรยาบรรณที่ดีได้"
และยังมีคนบอกอีกว่า จริยธรรมเป็นคุณภาพขั้นพื้นฐานของคนทุกคน หากว่าคนคนนั้นเป็นคนดีพร้อม แต่มีปัญหาด้านบุคลิกภาพแล้วก็จะทำให้สูญเสียความไว้วางใจและการได้รับการสนับสนุนจากผู้อื่น ในสังคมของการทำงานแล้ว หากพบคนแบบนี้ก็จะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เพียงเพราะผลประโยชน์เล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบต่ออนาคตของตนเองอย่างมาก
http://www.liekr.com/post_152590.html
https://goo.gl/id1JE5