วันพุธที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ภูเขาที่พ่อแม่ถูกทิ้ง

กิจกรรมจิตศึกษา เรื่อง 
"อุบะสุเทะ" ภูเขาที่พ่อแม่ถูกทิ้ง







ขั้นนำ (5 นาที) :

1.นักเรียนและครูนั่งล้อมวงกันเป็นวงกลม กิจกรรม นั่งสงบ มีสติ รับรู้ลมหายใจ-เข้า ออก ของตนเองประมาณ 2-3 นาที
2.ครูพูดคุยกับนักเรียนเกี่ยวกับ...ตำนานของประเทศญี่ปุ่นเรื่องหนึ่ง ชื่อเรื่อง อุบะสุเทะ  นักเรียนเคยได้ยินได้ฟังนิทานเรื่องนี้หรือไม่ เราจะให้ตัวแทนของเพื่อนเราเล่าเรื่องนี้ให้พวกเราฟังกันค่ะ ในขณะที่เพื่อนของเราเล่า สมาชิกที่เหลือจะตั้งใจฟังจนจบค่ะ


ขั้นดำเนินกิจกรรม : (15 - 20) นาที :

1. เพื่อนคนหนึ่งในห้องเล่า ตำนานเรื่อง ภูเขาที่พ่อแม่ถูกทิ้ง

2. ร้องเพลงร่วมกัน  หนึ่งเดียวคือแม่ 



3. นักเรียนเขียนบันทึก/แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน  :  ฟังเรื่องนี้แล้วรู้สึกอย่างไร  เราคิดว่า ถ้าเราเป็นลูกที่เกิดในสมัยนั้นเราจะทำอย่างไร    เราเคยแสดงพฤติกรรมไม่ดีกับแม่ของเราอย่างไรบ้างที่เรารู้สึกว่าท่านเสียใจ ทำไมตอนนั้นเราจึงตัดสินใจแสดงพฤติกรรมแบบนั้นออกไป     เราคิดว่า เรายังมีบางสิ่งบางอย่างที่อยากจะแสดงออกกับแม่ของเรา  มีคำพูดบางคำที่เราอยากบอกท่าน แต่เรายังไม่ได้ทำ เรายังไม่ได้พูด หรือไม่    เราอยากทำอะไรให้แม่ของเราบ้าง เพราะเหตุใด

เมื่อนักเรียนร่วมกันแลกเปลี่ยนความรู้สึกและความคิดของตนเองครบทุกคน  ครูจะกล่าวขอบคุณทุกความคิดและความรู้สึกของนักเรียน


------------------------------------------------------------


อุบะสุเทะ ภูเขาที่พ่อแม่ถูกทิ้ง

       ในสมัยเอโดะ (ค.ศ.1603-1867) ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองด้วยระบบขุนนาง มีเจ้าเมืองและซามูไรที่มีอำนาจลดหลั่นกันไป ประชาชนทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งของเจ้าเมืองแบบไม่มีเงื่อนไข
ช่วงที่ญี่ปุ่นถูกภัยแล้งคุกคามนานหลายปี เจ้าเมืองได้ออกกฏหมายขึ้นมาข้อหนึ่งว่า หากครอบครัวไหนมีพ่อแม่ที่อายุเกิน70ปี ลูกต้องนำพ่อแม่ไปทิ้งบนเขา มิฉะนั้นจะถูกประหาร เพราะถือว่าคนสูงวัยถึงเพียงนั้นเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ ยิ่งอยู่นานยิ่งเป็นภาระ   ในทางตรงกันข้าม การตายเพื่อให้ลูกหลานได้อยู่ต่อนับเป็นการตายที่มีเกียรติสูงยิ่ง  ภูเขาสูงหลายแห่งจึงกลายเป็นหลุมฝังศพคนแก่ ขึ้นไปสองคน แต่กลับลงมาหนึ่ง ต่อเนื่องกันไปอย่างนี้เรื่อยมา
     ชาวญี่ปุ่นเรียกภูเขาเหล่านี้ว่า "อุบะสุเทะ" ("อุบะ" แปลว่า คนแก่ "สุเทะ" แปลว่า ทิ้ง)
   ...และแล้วก็ถึงวันที่แม่ของ"เขา"อายุครบ70ปี เช้าวันนั้นเขาจัดเตรียมข้าวเป็นเสบียง เตรียมสานตระกร้าสำหรับใส่แม่   เมื่อทุกอย่างพร้อมก็อุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังและออกเดินทางไปยังภูเขา ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังจดจ่อกับการปีนเขาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ แม่ผู้ชราก็สังเกตเห็นว่าท้องฟ้ากำลังมืดลงทุกทีๆ   นางเกิดความกลัวขึ้นมาว่าถ้าฟ้ามืดลูกชายอาจหลงทางอยู่บนเขาก็ได้ นางจึงเอื้อมมือไปหักกิ่งไม้ กิ่งแล้วกิ่งเล่าเพื่อที่ว่าหลังจากทิ้งนางไว้บนภูเขาแล้ว ลูกชายจะสามารถกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
เมื่อถึงเวลาที่แม่ลูกต้องจากกัน นางได้บอกลูกชายว่า "ลูกแม่ ตอนที่เราขึ้นมาบนเขา แม่ได้หักกิ่งไม้ไว้ตลอดทาง ตอนลงจากเขาเจ้าจงสังเกตรอยไม้ที่แม่หักไว้ ก็จะถึงบ้านโดยปลอดภัย"
     เมื่อลูกชายได้ยินดังนั้น ทันใดสายตาก็มองเห็นมือที่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนของแม่ เขาอดหลั่งน้ำตาออกมามิได้ และตัดสินใจว่าจะไม่ยอมทิ้งแม่ไว้บนภูเขาเด็ดขาด เขาอุ้มแม่วางลงในตระกร้า แบกขึ้นหลังพาลงภูเขา และซ่อนแม่ไว้ในยุ้งฉางเพื่อหลบสายตาจากคนภายนอก
     ไม่นานหลังจากนั้น เจ้าเมืองก็ประกาศคำปริศนาไว้สองข้อ และบอกว่าหากใครแก้ปริศนาเหล่านี้ได้
ก็จะให้คนผู้นั้นสมปรารถนาหนึ่งประการ ปริศนาข้อแรกคือ ให้ฟั่นเชือกขึ้นมาจากขี้เถ้า และสองคือให้ร้อยเส้นไหมลอดผ่านเปลือกหอยสังข์
     เวลาผ่านไปหลายสัปดาห์ก็ยังไม่มีใครแก้ปริศนาได้ ลูกชายจึงนำเรื่องนี้ไปเล่าให้แม่ฟัง เมื่อเล่าจบแม่ก็ยิ้มแล้วสอนว่า
     "ลูกแม่ เจ้าจงทำตามที่แม่บอกต่อไปนี้ สำหรับปริศนาข้อแรกให้เจ้าฟั่นเชือกขึ้นมาแล้วนำไปเผาให้ไหม้เป็นถ่าน ขี้เถ้าจะคงรูปเหมือนเชือกอยู่อย่างนั้น ส่วนปริศนาข้อที่สอง ให้ผูกเส้นไหมกับขามดแล้วจับมดไปใส่ในเปลือกหอย หลังจากนั้นให้โรยน้ำตาลและจุดเทียนอีกด้านหนึ่งของเปลือกหอย เมื่อมดได้กลิ่นน้ำตาลและเห็นแสงเทียนก็จะพยายามเดินออกไปอีกด้าน"
     ภายหลังเมื่อเจ้าเมืองรู้ว่าคนที่แก้ปริศนาได้ แท้จริงแล้วคือหญิงชราธรรมดาๆ คนหนึ่ง จึงเกิดความเลื่อมใสในภูมิปัญญาของคนชราและตัดสินใจยกเลิกกฎให้ทิ้งพ่อแม่ตั้งแต่นั้น แม่กับลูกชายจึงใช้ชีวิตต่อมาอย่างมีความสุข


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น