วันจันทร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2560

ฟังนิทาน เรื่อง คุณค่าของกล้วยหอม

กิจกรรมจิตศึกษา
ฟังนิทาน เรื่อง "คุณค่าของกล้วยหอม"

จากหนังสือ ด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว
ผู้เล่าเรื่อง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ผู้เรียบเรียง สุพัตรา แซ่ลิ้ม



ขั้นนำ :
นักเรียนนั่งเป็นวงกลม ใช้กิจกรรม Brain Gym ปลุกสมอง/นั่งสมาธิ  ก่อนเริ่มกิจกรรม

ขั้นดำเนินกิจกรรม :
1.เกริ่นนำ....ครูอาจจะพูดถึงนิทาน หรือ เรื่องเล่าดีๆ ที่นักเรียนควรจะหาฟัง หรือ ควรจะหาอ่านเพื่อเป็นใช้เป็นแนวทางในการใช้ชีวิต สร้างแรงบันดาล และ ใช้เตือนสติตัวเองอยู่เสมอ    และนิทานในวันนี้ ก็เป็นนิทานเรื่องหนึ่งที่ ฟังแล้วจะทำให้เราได้แนวความคิดอีกหลายมุมมอง เมื่อฟังนิทานเรื่องนี้แล้วเราจะมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันนะคะ

2. ครูเปิด คลิป นิทาน เรื่อง คุณค่าของกล้วยหอม  จากแหล่งข้อมูลที่เตรียมไว้ให้
 สามารถ ฟังและดาวน์โหลดไฟล์ได้ที่นี่ค่ะ>>> https://youtu.be/WcMIj3SSRqY
หรือ จะพิมพ์จากแหล่งข้อมูลด้านล่างให้นักเรียนได้อ่าน กันในกลุ่ม แล้วแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันในกลุ่ม


3. เห็นอะไรในนิทานเรื่องนี้บ้าง ตอนไหนที่รู้สึกประทับใจ  และเรารู้สึกอย่างไร  และ นิทานเรื่องนี้ ทำให้เรานึกถึงเหตุการณ์หรือเรื่องราวใดบ้างที่เกิดขึ้นในชีวิตเรา

4. เราจะแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน ด้วยการให้ทุกคนได้แชร์คำตอบนั้นให้เพิื่อนๆ ฟังค่ะ

เมื่อจบกิจกรรม ครูก็จะกล่าวขอบคุณทุกความรู้สึกของนักเรียน นักเรียนกล่าวขอบคุณซึ่งกันและกัน


------------------------------------
นิทานสีขาว เรื่อง  คุณค่าของกล้วยหอม
จากหนังสือ ด้วยรักบันดาล...นิทานสีขาว
ผู้เล่าเรื่อง ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
ผู้เรียบเรียง สุพัตรา แซ่ลิ้ม



ณ บ้านน้อยในป่าใหญ่หลังหนึ่ง มีพ่อกับลูกชายวัยเก้าขวบที่เป็นใบ้อาศัยอยู่ด้วยกัน พ่อเป็นคนที่เคร่งครัดในศาสนามาก  ผู้เป็นพ่อจึงอยากให้ลูกชายมีการปฏิบัติเช่นเดียวกับตน  แต่เนื่องจากลูกชายของเขาเป็นใบ้ไม่สามารถออกเสียงสวดมนต์ได้  เขาจึงจำเป็นต้องปล่อยเลยตามเลยและรู้สึกไม่สมหวังในตัวลูกชายอยู่ลึก ๆ ...
         วันหนึ่ง หลังสวดมนต์ตอนเช้าเสร็จแล้วผู้เป็นพ่อได้เรียกลูกชายให้เข้ามาในห้องพระ แล้วยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้  พร้อมกัยบอกว่า
         "นี่ลูกเอ๋ย  เจ้าจงนำเงินนี้ไปเลือกซื้อกล้วยหอมที่งามที่สุดมาให้พ่อสักหวีหนึ่งนะ  พ่อจะนำมาทำพีธีบูชาพระพุทธเจ้าเพื่อเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตเรา.. จำไว้นะลูก  ต้องเลือกหวีที่ดีที่สุดเท่านั้น  และต้องกลับมาให้ทันก่อนเวลาพระอาทิตย์อยู่ตรงหัวด้วยล่ะ"  ผู้เป็นพ่อกำชับ  ซึ่งลูกชายก็พยักหน้ารับคำเป็นอย่างดี  แล้วออกจากบ้านไป
         เวลาผ่านไปจนกระทั่งบ่ายคล้อยแล้วลูกชายก็ยังไม่กลับมา  ผู้เป็นพ่อรู้สึกโมโหลูกชายเป็นอันมาก  หลังจากนั้นไม่นาน ลูกชายก็กลับมาถึงบ้าน  และทันทีที่เห็นหน้าลูกผู้เป็นพ่อตะคอกถามว่า
         "มัวไปเที่ยวเล่นที่ไหนจึงเพิ่งกลับมาเอาป่านนี้  รู้ไหม..เพราะเจ้ามาช้าพ่อจึงต้องพลาดพิธีบูชาพระพุทธเจ้าในวันนี้ไป"
         และเมื่อมองไม่เห็นกล้วยหอมในมือลูกผู้เป็นลูก  เขาก็รู้สึกเขารู้สึกโมโหมากขึ้นอีก
         "ที่พ่อให้เงินเจ้าไปซื้อกล้วยหอม  เจ้าไม่ได้ทำอย่างนั้นเรอะ  อย่างนั้นก็จงเอาเงินของพ่อมาคืนเสียเดี๋ยวนี้"
         แต่ลูกชายไม่มีเงินคืนให้แก่พ่อของเขา  เขาส่ายหน้าและทำไม้ทำมือเพื่อจะสื่อสารอะไรบางอย่าง..
         ฝ่ายพ่อนั้น  แค่ได้รู้ว่าลูกไม่ได้ซื้อกล้วยหอมและไม่มีเงินกลับมาคืนก็โกรธจนขาดสติ  ด้วยคิดว่าลูกเอาเงินไปซื้อขนมจนหมดสิ้น  เขาจึงเงื้อไม้เรียวและกระหน่ำฟาดไปที่น่องของลูกอย่างแรง  เด็กชายได้รับความเจ็บปวดมาก  แต่เขาพูดไม่ได้ จึงได้แต่ส่งเสียงร้อง..ขอความเห็นใจจากผู้เป็นพ่อ  ซึ่งขณะนี้ไม่มีแก่ใจรับฟังเสียงเว้าวอนใด ๆ จากลูกชายทั้งสิ้น
         "เพราะเจ้าไม่สวดมนต์  เจ้าจึงกลายเป็นคนเลว  ลูกไม่รักดีเช่นเจ้า  สู้ไม่มีเสียจะดีกว่า"  ผู้เป็นพ่อว่า  พร้อมกับลงไม้เรียวบนน่องของบุตรชายต่อไปอย่างไม่ยั้ง
         ขณะนั้นเอง  มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น  ขายผู้เป็นพ่อจึงหยุดเฆี่ยนตีลูกชาย  แล้วเปิดประตูออกไปดู  พบหญิงแปลกหน้าคนหนึ่งยืนอยู่  แขนข้างหนึ่งของนางอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยเอาไว้  ส่วนแขนอีกข้างหนึ่งคล้องตะกร้าใบใหญ่ที่มีผ้าคลุมปิดของที่อยู่ข้างใน
         "นางมาเยือนบ้านข้าด้วยเหตุอันใดหรือ" ชายผู้เป็นพ่อถามอย่างแปลกใจ  เพราะเขาไม่เคยรู้จักหญิงคนนี้และลูกสาวของเธอมาก่อน
         "อย่างนั้นคงจะผิดบ้านแล้ว  เพราะข้าไม่เคยรู้จักนางหรือลูกของนางมาก่อน"  ชายผู้เป็นพ่อปฏิเสธ
         "หากท่านเป็นบิดาของบุตรชายใบ้ผู้เปี่ยมด้วยเมตตา  ก็เห็นจะไม่ผิดหรอก"  นางตอบพร้อมกับแย้มรอยยิ้ม
         ชายผู้เป็นพ่อรู้สึกพิศวงมากที่หญิงนางนี้รู้จักกับลูกชายของเขา  เขาจึงสอบถามเรื่องรววทั้งหมดจากนาง  ซึ่งได้เล่าสิ่งที่เกิดแก่ตนเองในวันนี้ให้ฟังว่า..
         "ข้าเป็นหญิงม่ายต่างเมือง  เมื่อสามีข้าตาย  ข้าจึงต้องอุ้มลูกเดินทางรอนแรมเพื่อมาตามหาญาติทีเหลืออยู่ในเมืองนี้  แต่กว่าจะเดินทางมาถึงที่นี่ต้องใช้เวลานานมาก  เงินที่ติดตัวมาก็ร่อยหรอ  ทำให้ข้าและลูกไม่มีอะไรกินมา 3 วันแล้ว"
         "ขณะที่เรายังตามหาญาติไม่เจอ และไม่มีเงินซื้อข้าวกิน  ก็เผอิญเห็นลูกชายของท่านเดินถือกล้วยหอมหวีงามผ่านมาพอดี  ลูกสาวของข้าทนความหิวไม่ไหววิ่งไปหาลูกชายท่านเพื่อจะขอกล้วยหอมกิน  แต่ยังไม่ทันจะวิ่งไปถึงลูกสาวของข้าก็หมดแรงล้มลงไปเสียก่อน  ข้าจึงรีบวิ่งตามลูกไป  แล้วก็หมดแรงล้มลงเช่นกัน ลูกชายของท่านเห็นดังนั้นก็รีบเข้ามาช่วยพวกเรา  แล้วส่งกล้วยหอมให้เราสองแม่ลูกกินทั้งหวี  นอกจากนั้นยังหาน้ำดื่มมาให้เราด้วย  หากไม่มีลูกของท่าน  เราคงหาชีวิตไม่แล้ว  ต้องขอบคุณลูกชายท่านมากจริง ๆ"
         กล่าวจบหญิงนางนี้ก็ส่งตะกร้าให้แก่ชายผู้เป็นพ่อ  แล้วจากไป..เมื่อเปิดผ้าคลุมออกดูพบว่าในตะกร้านั้นเต็มไปด้วยกล้วยหอมหวีงามอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต   นอกจากนั้นยังทำให้เขาฉุกคิดถึงอะไรบางอย่างที่ตนเองไมเคยคิดมาก่อน  ชายผู้เป็นพ่อรีบกลับเข้าไปในบ้านและตรงเข้าสวมกอดลูกชาย  พร้อมทั้งพร่ำรำพรรณคำขอโทษต่าง ๆ นานา  เขากล่าวแก่ลูกชายอย่างสำนึกผิดว่า...
         "ลูกรักของพ่อ  อภัยให้พ่อที่โง่เขลาคนนี้ด้วยเถิด  พ่อนั้นคิดเสมอว่า  การสวดมนต์ด้วยเสียงอันดังจะทำให้พ่อเข้าถึงแก่นพระธรรมได้  นอกจากนั้น  การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยกล้วยหอมอยู่เสมอก็จะทำให้พ่อได้รับแต่สิ่งดีดีในชีวิต  แต่พ่อคิดฉวบฉวยเกินไป  กล้วยหอมของลูกและของพ่อนั้นต่างคุณค่ากันมาก  กล้วยหอมของพ่อมีไว้เพื่อบูชาพระพุทธรูป  แต่แท้จริงแล้วพ่อทำไปเพื่อตัวเองทั้งนั้น  แต่กล้วยหอมของลูกนั้นมีคุณค่าถึงขนาดช่วยชีวิตผู้อืนให่รอดพ้นจากความตายได้เลยทีเดียว  และพ่อคิดว่าขณะนี้พระพุทธองค์คงกำลังให้พรในความเมตตากรุณาของลูกอยู่ก็เป็นได้.."


http://www.thammasatu.net/forum/index.php?topic=14439.0

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น